วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552




ประวัติวันคริสต์มาส
For many centuries, Christian writers accepted that Christmas was the actual date on which Jesus was born.[8] However, in the early eighteenth century, scholars began proposing alternative explanations. Isaac Newton argued that the date of Christmas was selected to correspond with the winter solstice,[5] which in ancient times was marked on December 25.[9] In 1743, German Protestant Paul Ernst Jablonski argued Christmas was placed on December 25 to correspond with the Roman solar holiday Dies Natalis Solis Invicti and was therefore a "paganization" that debased the true church.[4] In 1889, Louis Duchesne suggested that the date of Christmas was calculated as nine months after the Annunciation (March 25), the traditional date of the Incarnation.[10]
ประวัติคริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ (Christmas) ซึ่งมาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า "Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษ (เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1038) และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmasประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันประสูติของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในรัชกาลของจักรพรรดิออกุสตุสแห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรีย ก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64 - ค.ศ. 313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย


(ใช้ทำนอง Jingle Bells)
Blood flows everywhere
in the place called battlefield,
but I do not care.
I just want to kill.
Sound of dying scream
is making me delighted.
What fun is it to kill and kill,
slaying all the night.
Kill,kill,kill
kill,kill,kill
Killing all the way.
O, what fun,I feel so high in the midst of bloody rain.
Kill,kill,kill
kill,kill,kill Killing all the way.
O, what fun,I feel so high in the midst of bloody rain,Yeh!
With my killing skill,
you can't ever run or hide.
I'm shaking with thrill.
Now is time to die!
The weak is to perish.
The strong is to survive.
You son of bitches are to rest in pieces by this knive!
Kill,kill,kill
kill,kill,kill
Killing all the way.
O, what fun,I feel so high in the midst of bloody rain.
Kill,kill,kill
kill,kill,kill Killing all the way.
O, what fun,I feel so high in the midst of bloody rain,Yeh!
มาเวอร์ชั่นไทยบ้าง (มาจากที่เดิมแหละ)
เลือดไหลนองทุกถิ่น
ในแดนดินสงคราม
แต่ข้าไม่ครั้นคร้าม
ให้แม่งตายตกตาม
เสียงร้องหวีดกรีดก่อน
ห่อนให้ชื่นใจตาม
สนุกอะไรอย่างนี้ละนี่
ฆ่าคนได้มันทั้งคืน
โอ ตายตายตาย
ตายตายตาย
ตายให้หมดเป็นทาง
โอ ช่างมันนักในอุราเวลาฝนตกสีแดง เฮ้
ตายตายตาย
ตายตายตาย
ตายให้หมดเป็นทาง
โอ ช่างมันนักในอุราเวลาฝนตกสีแดง
ด้วยทักษะที่มี
สูเจ้าหนีไม่ได้
สะใจจนตัวสั่น
ไม่ต้องหรอกเอ็งตาย!
พ่ายแพ้แน่ไอ้อ่อน
อยู่รอดคือผู้แกร่ง
ไอ้สัตว์ทั้งหลายพวกเอ็งจงตายให้เรียบให้ตายตายตาย
โอ ตายตายตาย
ตายตายตาย
ให้แม่งตายตกตาม
โอ ช่างมันนักในอุราเวลาฝนตกสีแดง
เฮ้ ตายตายตาย
ตายตายตาย
ให้แม่งตายตกตาม
โอ ช่างมันนักในอุราเวลาฝนตกสีแดง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น